
ประสบการณ์เรียนขับรถในต่างแดน
ใบขับขี่สากลที่ฉันได้มา มีอายุเพียง 6 เดือน ตอนนี้จึงถึงเวลาต้องไปทำใบขับขี่ออสเตรีย สำหรับชาวต่างชาติที่มีใบขับขี่สากลแล้ว หากต้องการสอบใบขับขี่ถาวรที่นี่ คุณจะได้สิทธิในการสอบปฏิบัติ (ขับรถ) และสอบปากเปล่า (ถาม ตอบ รายละเอียดต่าง ๆ ของกฎการใช้รถ) เพียงแค่สอบสองอย่างนี้เท่านั้น แต่หากคุณไม่มีใบขับขี่สากล คุณก็จำเป็นต้องเข้ากระบวนสอบตามกฎระเบียบทุกอย่าง เช่น ต้องฝึกขับรถ อย่างน้อย 1,000 กิโลเมตร และต้องมีการฝึกการขับบนทางด่วนด้วย ดังนั้นหากคุณมีใบขี่รถยนต์ส่วนบุคคลในเมืองไทย ฉันแนะนำให้คุณทำใบขับขี่สากลมาด้วยจะสะดวกขึ้นมาก
ก่อนการสอบใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลของที่นี่ แน่นอนว่าจำเป็นต้องฝึกขับรถให้คล่องเสียก่อน ต้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ที่กรมขนส่งด้วย เพื่อจะได้รู้กฎระเบียบ กติกาต่าง ๆ และก็เพื่อให้แน่ใจจะสอบผ่านแน่ ๆ เพราะค่าสอบไม่ใช่น้อย ๆ ว่าแล้วก็ติดต่อเพื่อนัดวันเวลากับเจ้าหน้าที่
ถึงวันเวลานัดเราก็ตรงไปยังบริษัทสอนขับรถยนต์ และในที่เดียวกันนี้ก็สามารถสอบทำใบขับขี่ได้ด้วย เมื่อได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ที่หน้าเคาน์เตอร์เสร็จเรียบร้อยจากนั้นไม่นานก็มีผู้หญิงวัยกลางคนหนึ่งเดินมา ทักทายฉันแ เมื่อพูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว จากนั้นครูก็ไม่รีรอรีบเชิญฉันไปด้านนอกบริเวณลานจอดที่ซึ่งมีรถจอดเรียงราย แต่ละคันจะติดสติกเกอร์ชื่อโรงเรียนโดนเด่นสวยงามสดใสมาก เพราะเป็นสติกเกอร์สีชมพู โรงเรียนสอนขับรถยนต์นี้ มีชื่อว่า “Pink Fahrschule” อ่านว่า “พิ้๊งฟาคท์ชูเล่อะ” แปลว่า พิ๊งค์โรงเรียนสอนขับรถ แค่ชื่อโรงเรียนก็น่ารักแล้ว คุณครูจะน่ารักเหมือนชื่อโรงเรียนไหม?
ฉันเลือกขับรถเกียร์อัตโนมัติ และทางโรงเรียนมีรถเกียร์อัตโนมัติเท่านั้น ที่โชคดีคือ เป็นรถ BMW X1 ฉันไม่เคยขับรถ SUV มาก่อน (รถ SUV คือ รถเอนกประสงค์สำหรับครอบครัวในเมืองไทยก็เป็นที่นิยม เช่น ฟอร์จูนเนอร์ มิวเซเว่น เป็นต้น ) วันนั้นจึงได้เปิดประสบการณ์ใหม่ เราเริ่มขับกันไปรอบ ๆ เมือง เข้าเส้นโน้น ออกเส้นนี้ แล้วแต่ว่าคุณครูอยากให้ฝึกขับไปทางไหน ซึ่งเส้นทางการฝึกนี้ก็จะคล้ายกับเส้นทางที่จะต้องขับในสอบจริง ดังนั้นเราจึงผ่านทั้งวงเวียน ทางรถไฟ สี่แยกไฟแดง สามแยก เข้าหมู่บ้าน เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ด้านฝั่งที่นั่งของครูผู้ฝึกสอนจะมีเบรกติดเพิ่มไว้ด้วย เพื่อป้องเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่อาจจะเกิดขึ้น และส่วนใหญ่คนที่ไปเรียนโดย ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่เพิ่งขับรถเป็น ดังนั้น ทุกโรงเรียนสอนขับรถจะติดเบรกไว้ฝั่งครูผู้ฝึกสอนเสมอ ในเมืองไทยฉันเรียนขับรถกับพ่อ ฝั่งคนนั่งโดยสารไม่มีเบรก มีแต่เสียงตะโกนจากพ่อที่คอยบอกให้เบรก!
เมื่อผ่านไปสักพักใหญ่ประมาณหนึ่งชั่วโมงได้ ครูค่อนข้างพอใจในทักษะการขับรถ ถือว่าฉันผ่านการเรียนปฏิบัติแล้ว เราจึงได้หยุดรถในลานจอดรถแห่งหนึ่งเพื่อเรียนทฤษฎี และก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องติดรถไว้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น กรวยสีขาวแดง เผื่อกรณีฉุกเฉินต้องจอดรถ อุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น เรียนรู้ป้ายวงกลม การนับวันหมดอายุ เรียนรู้ภายในรถยนต์ ปุ่มฉุกเฉิน ปุ่มต่าง ๆ ที่สำคัญในรถ เอกสารการเป็นเจ้าของรถ ไฟหน้า ไฟต่ำ ไฟสูง รวมถึงต้องรู้จักยางรถยนต์ด้วย ! เนื่องจากเมืองหนาวต้องมีการเปลี่ยนยางรถยนต์ให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ พื้นถนน คือ ยางรถยนต์ ยางรถยนต์มี 2 ประเภท 1. ยางรถยนต์สำหรับหน้าร้อน โดยเริ่มนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม 2. ยางรถยนต์สำหรับหน้าหนาว เริ่มนับจากเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม ยางรถทั้งสองประเภทมีกำหนดความหนาวของดอกยางไว้ ดังนั้นเจ้าของรถจะต้องเปลี่ยนตลอดตามสภาพการใช้งานและสภาพอากาศ
เมื่อครูเห็นว่าสอนครบแล้ว และฉัน (ดูเหมือนว่า) จะเข้าใจทั้งหมดที่ครูสอนไปแล้ว เราก็ขับรถกลับโรงเรียนสอนขับรถ ครูได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์ว่า ฉันพร้อมสอบแล้ว “Sie ist sehr brave gefahren” (คำนี้เป็นภาษาเยอรมัน หมายความว่า ฉันขับรถได้ดีมาก! ) ครูพูดอย่างนั้นจริง ๆ ฉันไม่ได้อวยตัวเองเลยแม้แต่น้อย จากนั้นจึงได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ และทำการตกลงเวลาสอบพร้อมชำระเงินค่าฝึกขับรถ และค่าสอบทำใบขับขี่เรียบร้อย ฉันเลือกวันสอบเป็นสัปดาห์ต่อไปทันที (เพื่อจะได้ไม่ลืมในสิ่งที่ครูติวให้) และระบุกับเจ้าหน้าที่ไปด้วยว่าฉัน เลือกสอบขัรถเกียร์อัตโนมัติ เพราะเกียร์ธรรมดาฉันไม่คุ้นชินแล้ว หลังจากที่ขับเกียร์อัตโนมัติในเมืองไทยตลอด และได้ลองขับรถเกียร์ธรรมดาที่นี่แล้ว แต่ฉันไม่สามารถจริง ๆ แค่ปีนขึ้นเขามาบ้านก็แทบแย่แล้ว
ภาพจาก www.pexels.com เนื้อหาโดย แอดมินวานด้า