Browsed by
Category: เรื่องเล่าต่างแดน

อาหารไทย vs อาหารยุโรป

อาหารไทย vs อาหารยุโรป

หากพูดถึงเรื่องอาหาร เมืองไทยเราไม่แพ้ชาติใดในโลก ทั้งในเรื่องความหลากหลาย ทั้งอาหารคาวหวาน ขนมไทยที่ปราณีตงดงาม  ยังไม่ต้องพูดถึงการแกะสลักยิ่งเพิ่มมูลค่าให้อาหารในจานนั้นได้อีกหลายเท่าตัว  รสชาติความอร่อยของอาหารไทยเป็นที่นิยมในนานาประเทศทั่วโลก  เมื่อคนไทยอย่างเราที่เคยลิ้มรสอาหารบ้านเกิดของตัวเองจนเคยชิน แต่มีความจำเป็นต้องไปใช้ชีวิตต่างแดน จะอยู่อย่างไรให้ไหวกับการอดกินอาหารที่แสนอร่อยในเมืองไทย วันนี้เราจะขอเล่าถึงอาหารการกินในออสเตรีย การใช้ชีวิตในออสเตรียเราทานอาหารอย่างไร  และอาหารออสเตรียจะมีรสชาติหน้าตาอย่างไร เรามาดูกันค่ะ หากคุณอาศัยในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ หรือที่ใดในเมืองสักแห่งในประเทศไทยแล้วล่ะก็การทานอาหารเป็นเรื่องง่ายแสนง่ายมาก เพียงแค่เดินออกไปนอกบ้าน หน้าปากซอย ก็มีอาหารหลากหลาย ไม่ว่าอาหารแบบ Street food หรือในร้านอาหาร ภัตตาคารต่าง ๆ ก็แล้วแต่เงินในกระเป๋าที่คุณมีพร้อมที่จะจ่ายในราคาเท่าไหร่ มีทั้งถูกและแพง  ที่คอยเปิดต้อนรับลูกค้าตั้งแต่เช้าตรู่ มีทั้งเครื่องดื่มสารพัดชนิด น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ ชา กาแฟ ขนมปัง ข้าวเหนียวหมูปิ้ง  ข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว โจ๊ก ก๋วยจั๊บ  ผลไม้ และอื่นๆ  อีกมากมาย ที่พ่อค้าแม่ค้าต่างเตรียมมาให้คุณได้เลือกสรร การอยู่ในเมืองใหญ่มันช่างแสนสะดวกสบายในการกินอยู่จริง ๆ แต่หากในเมืองเล็ก ๆ ตามหมู่บ้านต่าง ๆ เช่น บ้านพ่อแม่เราที่อยู่ต่างจังหวัด สมัยวัยเด็กคุณแม่จะเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ลูกๆ  ซึ่งเป็นอาหารง่าย ๆ หรือยาก  ๆ เครื่องเยอะ ๆ ก็แล้วแต่คุณแม่สะดวก เราเคยทำงานในเมืองกรุง ย่านธุรกิจ อาหารเช้าของเราจะแน่น ๆ จุก ๆ ไปเลย เช่น ข้าวเหนียวหมูปิ้งและชานมสด ทานคู่กันมันช่างอิ่มท้องและรู้สึกเบิกบานมาก ๆ ทุกวันเราต้องมีอาหารและเครื่องดื่มหิ้วขึ้นไปในครัวของบริษัท ที่ออสเตรียเมนูอาหารเช้า ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากอาหารเช้าฝรั่งที่เรารู้จัก ก็จะประกอบไปด้วย  กาแฟ โกโก้ น้ำผลไม้ ขนมปัง มีทั้งปิ้ง…

Read More Read More

สอบภาษาเยอรมันครั้งแรก !

สอบภาษาเยอรมันครั้งแรก !

ภาษาเยอรมันที่ขึ้นชื่อเรื่องความยาก ความเยอะของการทำความเข้า แต่วันนี้ฉันต้องพูดให้ได้และสอบให้ผ่านด้วย จะเป็นยังไงไปดูกัน การสอบภาษาเยอรมันจะสอบทั้งหมด 4 ส่วน  คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียนและต้องผ่านตามเกณฑ์ทุกระดับ หมายความว่า หากคุณพูดได้คล่องพูดเก่งอย่างเดียว  แต่คุณไม่ผ่านเกณฑ์การสอบเขียน  คุณก็ไม่ผ่านการทดสอบครั้งนี้  ดังนั้น ทุกส่วนจึงสำคัญ  สำหรับคนที่ไม่ต้องการสอบหรือยังไม่พร้อม ไม่จำเป็นต้องสอบก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสมัครใจที่จะสอบ เมื่อถึงวันสอบ ฉันจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันเสาร์  วันหยุดประจำสัปดาห์ในอาคารเต็มไปผู้คนมีทั้งญาติที่มารอรับ รอลุ้นการสอน  และผู้เข้าสอบที่มาจากเมืองต่าง ๆ มากมาย  มีผู้เข้าสอบทั้งสิ้นมากกว่า 40 คน  รายชื่อสอบเรียงลำดับตามตัวอักษรของนามสกุล ฉันได้ลำดับท้าย ๆ การสอบในส่วนแรก  คือ  ฟัง  อ่าน  เขียน   เราจะนั่งสอบรวมกัน ในห้องโดยดูรายชื่อตัวเองได้ที่หน้าห้อง  เมื่อสอบส่วนแรก ฟัง อ่าน และเขียน เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาพักกลางวัน จากนั้นช่วงบ่ายโมงเป็นต้นไปจะเริ่มสอบการพูด  โดยจะมีเจ้าหน้าที่เรียกชื่อเข้าไปในห้องสอบทีละคน   เมื่อเจ้าหน้าที่เรียกชื่อฉันเข้าไปในห้องสอบภาพที่เห็น  คือ มีผู้คุมสอบ 2 คน มีภาพต่าง ๆ ขนาด A4 มากมาย และเทปบันทึกเสียง ผู้คุมสอบหนึ่งคท่านฉันรู้จัก ก็คือครูสอนภาษาที่สอนพวกเรามานั่นเอง ผู้คุมสอบอีกหนึ่งท่าน ฉันไม่รู้จัก   เมื่อฉันถูกเชิญให้นั่งแล้วก็เริ่มสอบกันเลย  1. พูดอธิบายภาพ  โดยผู้เข้าสอบต้องเลือกหนึ่งภาพขึ้นมา แล้วบรรยายภาพที่เห็น เห็นอะไรในภาพนี้บ้าง โดยการพูดเป็นประโยค เช่น หากเราเลือกภาพครอบครัวหนึ่งกำลังจะจัดปาร์ตี้ในบ้าน  อาจจะบรรยายไปว่า  “ในภาพนี้ฉันเห็นผู้หญิงหนึ่งคน  ผู้ชายสองคน และเด็กชายอีกหนึ่งคน  พวกเขาน่าจะกำลังจัดปาร์ตี้ที่บ้าน  เนื่องจากมีอาหารมากมายวางอยู่โต๊ะ …

Read More Read More

เรื่องเล่าจากห้องเรียนภาษา

เรื่องเล่าจากห้องเรียนภาษา

วันแรกของการเรียน ฉันตื่นนอนเตรียมตัวแต่เช้า เพื่อจะได้เผื่อเวลาในการเดินทางเพราะต้องขับรถขึ้นทางด่วนจาก Seewalchen (เซวาลเชิ่น) มุ่งหน้าไป Gmunden (กะมุนเดิ้น) ฝนตกตลอดทาง วิสัยทัศน์ในการขับขี่ก็ลดลงบวกกับความกดดัน ความตื่นต้นที่ต้องขับทางไกล 20 กม. ด้วยพวงมาลัยซ้ายคนเดียวครั้งแรกคนเดียว ฉันจึงใช้สมาธิอย่างมากในวันนั้น แต่ก็ถึงที่หมายโดยปลอดภัย เมื่อถึงสถาบันสอนภาษา ลำดับต่อไปคือการหาห้องเรียน ฉันเดินตรงไปยังห้องโถงโล่ง ๆ ในใจคิดว่ามันต้องที่ให้นักเรียนได้ดูห้องเรียนแน่ ๆ  สถาบันภาษาแห่งนี้เป็นนึกขนาดกลาง เป็นอาคารสามชั้น  คนเยอะมากเดินขึ้นลง บันได รอลิฟท์ เข้าห้องนั้น ออกห้องนี้  และฉันก็มาหยุดทีหน้าจอ LCD ขนาดประมาณ 40” ที่ทางสถาบันมีไว้เพื่อแจ้งชื่อหลักสูตรที่เรียน และหมายเลขห้องเรียน  จากนันก็กวาดสายตามองหาชื่อหลักสูตร “Deutsch Kurse A1”   เมื่อรู้หมายเลขห้องแล้วฉันก็ไม่รีรีบเดินตามหาห้องเรียนเลย เมื่อมาถึงหน้าห้อง ฉันก็ไม่รีรอ เคาะประตูและเปิดประตูเปิดโพล่งเข้าไปเลยทำให้สายตาหลายคู่หันมามองที่ฉัน  แล้วก็มีบางคนพูดขึ้นมาว่า “ม้อเก้น”  ฉันก็ตอบกลับไปว่า “ม้อเก้น” เช่นเดียวกัน  เพราะได้เรียนรู้ระหว่างมาทุกคนที่พบฉันเขา จะพูดคำนี้แทบทุกคน และฉันก็สังเกตว่า เขาก็ตอบกลับด้วยคำนี้เช่นกัน  จึงมาทราบทีหลังว่าคำว่า “Guten Morgen” (กู๊ทเทิ่น ม้อเก้น) แปลว่าสวัสดีตอนเช้า สามารถพูดย่อได้ว่า “Morgen” เป็นการทักทายของชาวออสเตรีย  ทุกครั้งหากคุณพบเจอใครในตอนเช้าแม้ว่าจะเป็นคนแปลกหน้าก็ตาม  เขาจะทักทายกันด้วยคำว่าสวัสดีเสมอ  หากช่วงเวลาเปลี่ยนเป็นตอนบ่าย  ตอนเย็น  ก็จะมีคำทักทายกันแตกต่างกันออกไปแต่เขาก็มีคำทักทายทั่วไปที่ไม่ต้องระบุช่วงเวลาเช่นกัน  คุณสามารถพูดได้ว่า “Hallo” (ฮาโล) หรือ “Grüß gott”  (กรูส ก๊อทท์) ก็ได้เช่นกัน สองคำนี้สามารถพูดได้ตลอดทุกช่วงเวลาแบบไม่เป็นทางการ ห้องเรียน Deutsch A1 ของฉันกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว  สมาชิกในห้องทั้งหมด 8 คน ห้องถูกจัดเป็นตัวยู …

Read More Read More

สอบใบขับขี่

สอบใบขับขี่

หลังจากที่ฉันได้เรียนขับรถและมีความมั่นใจจนกล้าที่จะสอบแล้วนั้น วันนี้เป็นวันสอบจริงตื่นเต้นสุด ๆ เวลานัดสอบคือ 8.30 น. ฉันเดินทางมาถึงบริเวณลานสอบขับรถลานสอบขับรถนี้ฉันเคยมาฝึกแล้ว ลานสอบนี้มีลักษณะการสอนบ้านเรา คือ  มีหลักและกรวยตั้งเรียงรายเพื่อกำหนดให้ผู้สอบขับตาม  มีสอบถอยเข้าซอง  สอบจอดตามแนวถนน  เมื่อมาถึง ฉันมองเห็นผู้หญิงหนึ่งคนวัยกลางคน และผู้ชายอีกหนึ่งคน ยังดูหนุ่มมาก อายุน่า จะน้อยกว่าฉันเป็นสิบปีได้  ทั้งสองรีบเดินปรี่เข้ามาหาก็เพราะทั้งลานจอดรถมีเรา 4 คนเท่านั้น ฉันก็รีบเดินเข้าไปทักทาย จึงได้รู้ว่าทั้งสองคือ เจ้าหน้าที่สอบใบขับขี่ จากนั้นฉันก็เริ่มสอบทันที โดยรถที่ใช้สอบก็คือรถคันที่ฉันใช้ฝึกเมื่อสัปดาห์ก่อนนั้นเอง การสอบขับในลานนี้ ฉันขับคนเดียวโดยขับเหมือนที่เรียนมาทุกอย่าง แต่ที่ยากสุด คือ การถอยเข้าซองโดยการจอดเทียบให้ตรงช่องที่จะจอดด้านหน้าก่อน  แล้วจึงค่อย ๆ ถอยเข้าช่อง  เล็ก ๆ โดยมีเสาพลาสติกขาวแดงตั้งเรียงไว้ทุกจุด  หากขับชนเสาใดเสาหนึ่ง คือ คุณสอบ  ไม่ผ่าน ต้องระมัดระวังมากด้วยรถขนาดใหญ่ที่ฉันเลือกใช้สอบด้วย เมื่อจบขั้นตอนการสอบในลานสอบเรียบร้อยแล้ว ลำดับต่อไปคือการสอบปากเปล่า ถามตอบเกี่ยวกับข้อมูลที่สำคัญในรถ  การสอบปากเปล่านี้เราพูดคุยกันเป็นภาษาเยอรมันตามภาษาราชการของออสเตรีย ใช้ภาษาที่สามแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ฉันตื่นเต้นขึ้นไปอีก เท่าที่จำได้ เจ้าหน้าที่ผู้หญิงได้ถามฉันเกี่ยวกับข้อมูลรถ 4 คำถาม  เป็นคำถามเกี่ยวกับป้ายวงกลม  ยางรถช่วงหน้าหนาวหน้าร้อน อุปกรณ์ฉุกเฉินในรถฉันก็ตอบตามความเข้าใจ  ตั้งใจฟังคำถามและตอบให้ตรงจุดสั้น ๆ  ไม่ถึงสามนาทีก็เรียบร้อยกับการสอบปากเปล่า  จากนั้นเป็นการสอบทักษะการขับรถบนท้องถนน การสอบทักษะการขับรถ  เจ้าหน้าที่ทั้งสองท่านนั่งรถไปกับเราด้วย เจ้าหน้าที่ผู้ชายนั่งที่นั่งฝั่งขวา เจ้าหน้าที่ผู้หญิงนั่งตรงฝั่งขวาในห้องผู้โดยสาร  เมื่อได้รับสัญญาณจากเจ้าหน้าที่ คุมสอบให้เริ่มออกรถ แล้วฉันก็เริ่มขับออกจากลานสอบ โดยต้องรอฟังเจ้าหน้าที่ผู้ชายตลอดว่า เขาจะให้เราขับไปไหนจะให้เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ตรงไป เข้าซอยนี้ ออกซอยนั้นก็แล้วแต่เจ้าหน้าที่  ระหว่างที่เราขับรถอยู่นั้นเจ้าหน้าที่ทั้งสองจะดูปฏิกิริยา พฤติกรรมทุกอย่างของเรา เช่น เปิดไฟเลี้ยวช้าเกินไปไหม ชะลอได้ความเร็วตามที่กฎหมายหรือไม่ ก่อนถึงวงเวียนในระยะสามสิบเมตรความเร็วต้องไม่เกิน 30 เท่านั้น  หยุดในจุดที่ต้องหยุดหรือไม่  การหยุดตามกฎหมายจราจร ไม่ใช่แค่ชะลอความเร็ว แต่รถต้องหยุดจอดสนิทก่อน แล้วจึงขับต่อไปได้…

Read More Read More

ประสบการณ์เรียนขับรถในต่างแดน

ประสบการณ์เรียนขับรถในต่างแดน

ใบขับขี่สากลที่ฉันได้มา มีอายุเพียง 6 เดือน ตอนนี้จึงถึงเวลาต้องไปทำใบขับขี่ออสเตรีย  สำหรับชาวต่างชาติที่มีใบขับขี่สากลแล้ว หากต้องการสอบใบขับขี่ถาวรที่นี่ คุณจะได้สิทธิในการสอบปฏิบัติ (ขับรถ) และสอบปากเปล่า (ถาม ตอบ รายละเอียดต่าง ๆ ของกฎการใช้รถ) เพียงแค่สอบสองอย่างนี้เท่านั้น  แต่หากคุณไม่มีใบขับขี่สากล คุณก็จำเป็นต้องเข้ากระบวนสอบตามกฎระเบียบทุกอย่าง  เช่น  ต้องฝึกขับรถ อย่างน้อย 1,000 กิโลเมตร  และต้องมีการฝึกการขับบนทางด่วนด้วย  ดังนั้นหากคุณมีใบขี่รถยนต์ส่วนบุคคลในเมืองไทย  ฉันแนะนำให้คุณทำใบขับขี่สากลมาด้วยจะสะดวกขึ้นมาก ก่อนการสอบใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลของที่นี่ แน่นอนว่าจำเป็นต้องฝึกขับรถให้คล่องเสียก่อน ต้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ที่กรมขนส่งด้วย เพื่อจะได้รู้กฎระเบียบ กติกาต่าง ๆ และก็เพื่อให้แน่ใจจะสอบผ่านแน่ ๆ เพราะค่าสอบไม่ใช่น้อย ๆ ว่าแล้วก็ติดต่อเพื่อนัดวันเวลากับเจ้าหน้าที่ ถึงวันเวลานัดเราก็ตรงไปยังบริษัทสอนขับรถยนต์ และในที่เดียวกันนี้ก็สามารถสอบทำใบขับขี่ได้ด้วย  เมื่อได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ที่หน้าเคาน์เตอร์เสร็จเรียบร้อยจากนั้นไม่นานก็มีผู้หญิงวัยกลางคนหนึ่งเดินมา ทักทายฉันแ เมื่อพูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว จากนั้นครูก็ไม่รีรอรีบเชิญฉันไปด้านนอกบริเวณลานจอดที่ซึ่งมีรถจอดเรียงราย  แต่ละคันจะติดสติกเกอร์ชื่อโรงเรียนโดนเด่นสวยงามสดใสมาก เพราะเป็นสติกเกอร์สีชมพู  โรงเรียนสอนขับรถยนต์นี้ มีชื่อว่า  “Pink Fahrschule” อ่านว่า  “พิ้๊งฟาคท์ชูเล่อะ” แปลว่า พิ๊งค์โรงเรียนสอนขับรถ แค่ชื่อโรงเรียนก็น่ารักแล้ว  คุณครูจะน่ารักเหมือนชื่อโรงเรียนไหม?   ฉันเลือกขับรถเกียร์อัตโนมัติ  และทางโรงเรียนมีรถเกียร์อัตโนมัติเท่านั้น ที่โชคดีคือ เป็นรถ BMW X1  ฉันไม่เคยขับรถ SUV มาก่อน (รถ SUV คือ รถเอนกประสงค์สำหรับครอบครัวในเมืองไทยก็เป็นที่นิยม เช่น ฟอร์จูนเนอร์  มิวเซเว่น เป็นต้น ) วันนั้นจึงได้เปิดประสบการณ์ใหม่  เราเริ่มขับกันไปรอบ ๆ เมือง เข้าเส้นโน้น  ออกเส้นนี้ แล้วแต่ว่าคุณครูอยากให้ฝึกขับไปทางไหน  ซึ่งเส้นทางการฝึกนี้ก็จะคล้ายกับเส้นทางที่จะต้องขับในสอบจริง  ดังนั้นเราจึงผ่านทั้งวงเวียน  ทางรถไฟ …

Read More Read More