Browsed by
Category: สัพเพเหระ

คิดถึงรถโรงเรียนของเราจังเลย

คิดถึงรถโรงเรียนของเราจังเลย

ชีวิตเด็กต่างจังหวัดในสมัยก่อนเมื่อย้อนกลับไปประมาณสามสิบกว่าปีก่อน  การได้เข้าเรียนดี ๆ นั้นช่างแสนลำบาก ด้วยความที่บ้านอยู่ไกลห่างจากตัวเมืองถึงสามสิบกิโลเมตเราจึงต้องอาศัยรถโรงเรียนเดินทางไป – กลับ บ้านและโรงเรียนทุกวัน  นั่นเป็นความตั้งใจของพ่อแม่ที่อยากให้ลูก ๆ ได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่พวกท่านคิดว่าดีที่สุด การเข้าเรียนในเมืองวันแรกของเด็ก 6 ขวบ จึงไม่ง่ายเลยสำหรับเรา ทุกอย่างใหม่หมด ด้วยความที่เราไม่เคยเรียนอนุบาลมาก่อน ไม่เคยมีประสบการณ์การนอนกลางวัน เล่นกับเพื่อน ๆ  เมื่อต้องไปเรียนอายุถึงเกณฑ์ขึ้น ป.1  ก็ต้องเรียนไปซะดื้อ ๆ อย่างนั้น ตอนนั้นเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าแปลกอะไร  แต่พอโตขึ้นถึงได้รู้ว่าเราไม่เคยได้เรียนอนุบาล แต่ก็ไม่อยากถามพ่อแม่ว่าทำไมเราไม่ได้เรียนเหมือนเด็กคนอื่น ๆ คิดซะว่าเป็นข้อดีได้เรียนเร็ว และเรียนผ่านมาได้ด้วย ณ วันแรกที่เข้าเรียน มันเป็นความรู้สึกที่หลากหลายอย่างบอกไม่รู้  มีทั้งความสับสนในภาษา ที่เราไม่เคยจะพูดมาก่อน ด้วยความที่เป็นเด็กอิสาน พูดภาษาอิสาน พอต้องมาเจอคุณครูเจอเพื่อน ๆ ในโรงเรียนเอกชนที่พูดภาษากลาง เลยเกิดความสับสน ไม่เข้าใจ ไม่กล้าพูดปะปนอยู่ในคราวเดียวกัน เราจำช่วงเวลานั้นได้ ในตอนนั้นเราได้กลายเป็นพูดน้อย พูดน้อยมากถึงกับผู้ใหญ่บางคนถามพ่อเราว่า ลูกคุณเป็นใบ้เหรอ?  เมื่อเวลาผ่านไป ก็ค่อยปรับตัวค่อยเป็นค่อยไปและสามารถเข้ากับกลุ่มเพื่อน ๆ ที่พูดภาษากลางได้เป็นอย่างดี ! เมื่อเริ่มสนิทสนมกับเพื่อน การเรียน การเล่นจึงไม่มีปัญหาใด ๆ เป็นไปในทางที่ดีด้วยซ้ำ แม้จะพูดน้อยแต่ผลการเรียนของเรานั้นไม่ได้น้อยเลยล่ะ ประสบการณ์ในวัยประถมมีเยอะ  แต่มีสิ่งหนึ่งที่อยากเล่า คือ ความทรหด ที่ฝึกเราสองพี่น้องให้เป็นคนมีความอดทนจนถึงทุกวันนี้ นั่นก็คือ การนั่งรถโรงเรียน  ยังไงถึงบอกว่าทรหด  เราต้องนั่งรถโรงเรียนทั้งไปและกลับทุกวัน วันละไม่ต่ำกว่าชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมง  รถโรงเรียนของเราเป็นรถบัสขนาดกลาง มีนักเรียนในสายเดียวกันประมาณสามสิบคน  แน่นอนว่าบ้านเราซึ่งอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองถึงสามสิบกิโลเมตรนั้น คือ บ้านที่ไกลที่สุดในสายนี้  เรากับน้องสาวจึงได้สิทธิ์พิเศษคือ รถโรงเรียนจะขับตรงดิ่งจากตัวเมืองไปบ้านของเราสองคนก่อน บางครั้งเราก็ปล่อยให้รถโรงเรียนรอ  (จะบอกว่าบางครั้งก็ไม่ได้เพราะบ่อยครั้งมากที่รถโรงเรียนต้องรอเราสองพี่น้องแต่งตัว บางครั้งเพิ่งอาบน้ำเสร็จรถมาก็จอดรอหน้าบ้านเราแล้ว !…

Read More Read More

เก็บสตรอว์เบอร์รี่และกินบุฟเฟ่ต์สตรอว์เบอร์รี่สด ๆ ในไร่

เก็บสตรอว์เบอร์รี่และกินบุฟเฟ่ต์สตรอว์เบอร์รี่สด ๆ ในไร่

เมื่อช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา เรากับเพื่อนพร้อมกับลูกสาวของเพื่อนได้ไปเก็บสตรอว์เบอร์รี่ เราขับรถไปไม่นานไม่ถึงสิบห้านาทีก็ถึงไร่แล้ว บรรยากาศในวันนั้นดีมาก ไร่ล้อมรอบด้วยภูเขาตามลักษณะภูมิประเทศของออสเตรีย มีแสงแดดอ่อน ๆ อากาศดีฟ้าโปร่งแบบนี้เราต้องหาเรื่องออกไปข้างนอก ไปสูดอากาศบริสุทธิ์กัน ก่อนเข้าไปในไร่ เราจะต้องผ่านด่านการชั่งน้ำหนักอุปกรณ์ที่เรานำมาเก็บสตรอว์เบอร์รี่กันก่อน เช่น ตะกร้า ถัง หรือกล่องชนิดต่าง ๆ ที่ลูกค้านำมาเก็บ เพื่อที่ว่าขาออกจากไร่ เจ้าของไร่จะได้คิดเฉพาะน้ำหนักจากสตรอว์เบอร์รี่เท่านั้น โดยตัดน้ำหนักของอุปกรณ์บรรจุสตรอว์เบอร์รี่ออกไป เมื่อผ่านด่านนี้แล้ว เราก็ลุยไปข้างในไร่กันเลย ส่วนใหญ่แล้วคนทีมาเก็บสตรอว์เบอร์รี่ในวันนั้นมาเป็นครอบครัว พ่อ แม่ ลูก ปู่ ย่า ตา ยาย เรียกได้ว่าสตรอว์เบอร์รี่เป็นที่ชื่นชอบของทุกเพศทุกวัยเลยทีเดียว โดยเฉพาะเด็ก ๆ ดูพวกเขาตื่นเต้นมากที่จะได้เก็บสตรอวเบอร์รี่จากต้นสด ๆ สตรอว์เบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีสีสันและรูปทรงสวยงามจนได้ชื่อว่าเป็น เทพีแห่งผลไม้ และยังเป็นผลไม้ที่มีความแปลก เพราะแทนที่เมล็ดจะอยู่ข้างใน แต่ดันไปแปะอยู่ที่เปลือกข้างนอกซะงั้น สำหรับรสชาติของสตรอเบอรี่นั้นจะมีทั้งหวาน และเปรี้ยวผสมหวาน นำไปใช้ปรุงและประกอบอาหารได้หลายๆ อย่าง หรือจะกินได้ทั้งผลสดๆ และนำมาแปรรูปเพื่อถนอมอาหารประเภท แยม ที่ใช้กินกับขนมปังก็อร่อย ในบรรดาผลไม้นานาชนิด ผลไม้ที่ดึงดูดใจผู้คนทุกเพศทุกวัยตั้งแต่เด็กเล็ก หนุ่มสาว ตลอดจนผู้ใหญ่ ต้องยกให้ สตรอว์เบอร์รี่ ผลไม้สีแดงสดใส รสชาติหวานอมเปรี้ยวนี้นี่เอง! ประวัติสตรอว์เบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ถูกพบเมื่อราวศตวรรษที่ 10-15 โดยเริ่มที่ประเทศฝรั่งเศส พบภาพวาดเป็นภาพประสูติของพระเยซู มีภาพของพระบิดาโจเซฟ ยืนถือสตรอว์เบอร์รี่ และอีกภาพเป็นภาพพระนางแมรี่ อุ้มพระเยซู และมีนางฟ้าถือถาดสตรอว์เบอร์รี่เช่นกัน ซึ่งจะเห็นว่าภาพเขียนศิลปะยุโรปสมัยกลางนั้น มีสตรอว์เบอร์รี่เป็นส่วนประกอบของภาพเกือบทุกภาพ ในช่วง ค.ศ. 1500-1600 มีการปลูกสตรอว์เบอร์รี่กันอย่างกว้างขวางเนื่องจากมีลักษณะสวยงาม และสามารถนำผลมากินได้ มีการพัฒนาพันธุ์สตรอว์เบอร์รี่ให้มีคุณภาพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงศตวรรษที่ 17 มีการนำสตรอว์เบอร์รี่พันธุ์ เอฟ…

Read More Read More

spinach

spinach

เราไปทำความรู้จักกับผักใบเขียวที่มีคุณประโยชน์มากมาย หาซื้อง่าย ทำอาหารได้หลากหลายเมนูด้วย  นั่นคือ ผักปวยเล้ง ปวยเล้ง ภาษาอังกฤษ คือ Spinach  หรือที่ใครหลายๆ คนอาจจะเข้าใจว่าเป็นผักโขม (Amaranth) เป็นอีกหนึ่งผักดีมีประโยชน์ที่ชาวไทย รวมถึงชาวต่างชาตินิยมรับประทานกันมาอย่างยาวนาน (ผักตัวจริงที่ให้พลังงานแก่ป็อปอาย คือผักปวยเล้งนี่แหละ หาใช่ผักโขมไม่) เพราะปวยเล้งมีวิตามิน และเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายเยอะ หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง และรสชาติดี จึงทำให้ปวยเล้งถูกดัดแปลงไปทำเป็นเมนูอาหารได้อย่างหลากหลายทั้งอาหารตะวันตก และตะวันออก คุณสมบัติของผักปวยเล้งนั้น มีฤทธิ์เย็น มีรสหวาน มีสารอาหารเยอะมาก มีเส้นใยชนิดดี มีพลังงานต่ำ ดังนี้  สารอาหารกลุ่มแคโรทีนอยด์เข้มข้น สารเบต้าแคโรทีน สารลูทีน สารโพแทสเซียม วิตามินซีมีมากเป็น 2 เท่าของหัวผักกาด เป็นวิตามินซีที่ร่างกายดูดซึมได้ดี มีธาตุเหล็กและแคลเซียมจำนวนมาก ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ถึง 50% วิตามินบี วิตามินซี วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค กรดโฟลิกที่มีอยู่มากในผักปวยเล้งนั้น มีด้านดี เกี่ยวกับระบบประสาท คือ เป็นสารประกอบจำเป็นในการสร้างสารซีโรโทนินในระบบเซลล์ประสาท สารตัวนี้ช่วยทำให้ร่างกายผ่อนคลาย นอนหลับง่าย ในด้านของการบำรุงร่างกาย ปวยเล้งมีสารตัวหนึ่งที่ดีมากๆ สารตัวนี้มีชื่อว่า “ลูทีน” ทำหน้าที่ในการกรองแสงสีฟ้าจากแหล่งกำเนิดแสงที่เป็นอันตรายต่อดวงตา ไม่ว่าจะเป็น แสงอาทิตย์อันเจิดจ้า แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือแสงจากหลอดไฟ ทั้งนี้ก็เพราะลูทีนทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้สามารถป้องกันการถูกทำลายของเซลล์รับภาพหรือจอประสาทตาได้นั่นเอง คนไหนที่ชอบรับประทานปวยเล้งเป็นประจำรับรองว่าจะมีสายตาที่ดีไปกว่าใครแน่นอน ส่วนในด้านของการป้องกันโรค ปวยเล้งจะมีสารที่ชื่อว่า “แคโรทีนอยด์” ในปริมาณสูง ซึ่งสารตัวนี้สามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ดีระดับหนึ่ง พูดถึงแต่เรื่องดีกันไปแล้ว มาทราบถึงข้อเสียกันบ้างดีกว่า เพราะไม่ใช่ว่าการรับประทานปวยเล้งในปริมาณมากจะเป็นเรื่องดีเสมอไป เพราะถึงแม้ว่าปวยเล้งจะมีธาตุเหล็กและแคลเซียมในปริมาณที่สูง แต่ก็ยังพบว่ามีปริมาณ “กรดออกซาลิก” สูงเช่นกัน ซึ่งกรดออกซาลิกที่เป็นองค์ประกอบในปวยเล้งจะเป็นตัวขัดขวางการดูดซึมของธาตุเหล็กและโฟเลต ทำให้ร่างกายได้รับสารทั้งสองอย่างได้ไม่เต็มที่…

Read More Read More

ข่าวสารมากมายในโลกออนไลน์ ควรรับมืออย่างไรดี ?

ข่าวสารมากมายในโลกออนไลน์ ควรรับมืออย่างไรดี ?

ในโลกยุคปัจจุบัน ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่แตกต่างจากโลกยุคอดีตแบบที่ไม่คาดคิดเลยก็มีโดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิตอล ที่ถือว่ามีความทันสมัยอย่างมาก โดยเมื่อเทียบกับยุคอดีตแล้วความทันสมัยในรูปแบบนี้อาจจะล้ำมากสุดก็คงจะเป็นคอมพิวเตอร์ที่สามารถหาข้อมูลที่สามารถเชื่อมต่อข้ามโลกกันได้แต่ก็ยังไม่รวดเร็วมากนักเมื่อเทียบกับยุคปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ความทันสมัยของเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันจึงเป็นสิ่งที่สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้คนอย่างมากมายเลยทีเดียว และนั่นจึงทำให้เราจะต้องรับมือกับความรวดเร็วของโลกออนไลน์นี้อย่างมาก เพราะความรวดเร็วดังกล่าวนี้นอกจากจะเป็นเรื่องของการเชื่อมต่อข้ามโลกแล้ว ยังหมายถึงการสื่อสารและเผยแพร่ข้อมูลที่หลากหลายและรวดเร็วอีกด้วย ซึ่งข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ออกมาปัจจุบันนั้น เป็นข้อมูลที่ใครๆ ก็สามารถนำมาลงได้ จึงทำให้มันเป็นข้อมูลที่มีทั้งจริงและไม่จริงได้ทั้งนั้น นั่นจึงทำให้การรับมือกับการใช้ชีวิตกับข้อมูลเหล่านี้ในโลกปัจจุบัน จึงเป็นสิ่งที่ต้องตระหนักอย่างยิ่ง สำหรับการรับมือกับการใช้ชีวิตในโลกปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่างสารมากมายรอบตัว สิ่งสำคัญที่เราควรจะมีคือ การมีวิจารณญาณที่ดี เป็นอันดับแรก กล่าวคือ เราควรจะต้องแยกแยะก่อนว่าข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลที่ดีแก่ตัวเราหรือไม่หรือมันสร้างผลเสียให้กับตัวเราและคนรอบข้างได้ขนาดไหน ซึ่งวิจารณญาณที่ดีจะช่วยทำให้เราสามารถแยกแยะความดีและไม่ดีของข้อมูลได้นั่นเอง และตามมาด้วย การวิเคราะห์ที่ดี ซึ่งในส่วนตรงนี้จะช่วยทำให้เราสามารถค้นพบได้ว่าข้อมูลที่เรากำลังดูอยู่นั้นเป็นข้อมูลจริงหรือเท็จกันแน่ด้วยการวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ที่จะเป็น และ ตรวจสอบจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่มีการพูดถึงเรื่องเดียวกันซึ่งมันจะช่วยทำให้การรับข้อมูลเหล่านี้สร้างประโยชน์ให้กับตัวเราได้อย่างมหาศาล ดังนั้นแล้ว ในการใช้ชีวิตในปัจจุบันการรู้จักวิธีรับมือกับข้อมูลข่าวสารรอบตัวเราเป็นหนึ่งในทักษะที่เราควรจะรู้เอาไว้เป็นอย่างยิ่งเพราะมันจะช่วยทำให้เราสามารถใช้ชีวิตในโลกยุคปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่โดนข้อมูลใด ๆ มาปั่นหัวหรือหลอกเราได้   ภาพจาก www.pexels.com เนื้อหาโดยแอดมินวานด้า

Work from home โอกาสทองของคนที่ไม่เคยมีเวลา Stay home

Work from home โอกาสทองของคนที่ไม่เคยมีเวลา Stay home

ในการใช้ชีวิตของมนุษย์ในโลกปัจจุบันนั้น การทำงานถือว่าเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่เราจะต้องประสบพบเจอ ซึ่งการทำงานทั้งหลายทุกอย่างนั้นเป็นขั้นตอนที่จะทำให้เราสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ จากรายได้ที่ได้จากการทำงานนั่นเอง ซึ่งรายได้เหล่านี้จะช่วยพยุงชีวิตเราได้มากขึ้น โดยมันสามารถนำไปซื้อในสิ่งที่จำเป็น ไปจนถึงสิ่งที่ต้องการนั่นเอง แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยการที่เราอาจจะไม่สามารถกลับบ้านได้ หรืออาจจะมีเวลาอยู่ที่บ้านน้อยลงนั่นเอง นั่นจึงถือว่าเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ได้อย่างเสียอย่าง”  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นเรื่องปกติของสังคมมนุษย์มาอย่างยาวนาน จนกระทั่งการเข้ามาของ COVID-19 ที่เป็นโรคระบาดขั้นร้ายแรงซึ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเราอย่างพลิกผันแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะมันเป็นโรคระบาดที่ยิ่งกว่าไข้หวัดใหญ่ และทำให้ผู้คนสามารถเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว และนั่นจึงทำให้การใช้ชีวิตในยุคนี้จำเป็นที่จะต้องทำงานอยู่ภายในเคหสถานหรือที่บ้านนั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นการทำงานที่เหมาะสมที่สุด และทำให้ไม่มีต้องมีการแพร่ระบาดที่มากกว่าเดิมนั่นเอง ซึ่งเราเรียกการทำงานแบบนี้ว่า “Work from home” ในปัจจุบัน Work from home ก็ยังมีอิทธิพลอย่างมากในปัจจุบัน เพราะสถานการณ์ COVID-19 ยังไม่ซบเซาลง รวมไปถึงวัคซีนที่ใช้ก็เรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพที่ดีไม่เหมือนกัน แต่เมื่อมีการพัฒนาของตัวเชื้อที่ น่ากลัวมากขึ้น ก็ทำให้วัคซีนจะต้องมีการพัฒนามากกว่าเดิมนั่นเอง และนั่นจึงทำให้การใช้ชีวิตแบบนี้ยังคงต้องเป็นแบบนี้ต่อไป ซึ่งมันอาจจะส่งผลที่ไม่ดีสำหรับผู้คนมากมายนัก แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยอยู่บ้านแล้ว นี่อาจจะเป็นเวลาที่ทำให้พวกเขาสามารถอยู่ในบ้านได้ดีที่สุด เพราะพวกเขาสามารถเวลาที่จะทำอะไรได้อย่างอื่นนอกจากทำงาน และถ้ามีสมาชิกในครอบครัวคนอื่นที่จะต้องประสบพบเจอกับปัญหาแบบเดียวกัน ก็ถือได้ว่าเป็นเวลาที่ทำให้พวกเขาได้อยู่ร่วมกันได้ดีที่สุด เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของ Work from home สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาอยู่ในบ้านนั้น ก็ทำให้มีเวลาอยู่บ้านได้มากขึ้น และถ้ายิ่งมีสมาชิกในบ้านเข้ามาอยู่ด้วยกันกับเรา ก็ทำให้เราสามารถมีเวลาอยู่กกับครอบครัวของเราได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อนนั่นเอง   ภาพจาก www.pexels.com เนื้อหาโดยแอดมินวานด้า